เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ พ.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อสัจธรรม เพื่อชีวิตของเรา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะเวลาบวชพระ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ สิ่งที่ทำได้๔ อย่าง อยู่รุกขมูล ร่มไม้บิณฑบาตเป็นวัตร สิ่งต่างๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าปัจจัย ๔

ถ้ามีปัจจัย๔ ชีวิตนี้ดำรงอยู่ด้วยปัจจัย ๔ ถ้าปัจจัย ๔ เราติดที่ปัจจัย ๔ เราก็ว่าต้องมีความร่มเย็นเป็นสุขในการดำรงชีวิต ในการดำรงชีวิตนี้มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยไงถ้าปัจจัยเครื่องอาศัยนะ พระในสมัยพุทธกาลเวลาเกิดมา ดูสิพระสีวลีรวยด้วยลาภสักการะมหาศาล แต่พระที่บวชมาที่เป็นพระอรหันต์โดยที่ว่าเป็นทุคตะเข็ญใจก็มีสิ่งที่มีอย่างนี้ สิ่งที่มีมันไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทั้งหมดหรอก มันไม่สมบูรณ์แบบเพราะอะไรเพราะมันมีเวรมีกรรมไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนทำเวรทำกรรมมาสิ่งใด เห็นไหม ผลของกรรมๆ

ถ้าผลของกรรมทำคุณงามความดีมาขนาดไหน เราจะทำมักน้อยสันโดษขนาดไหนมันก็มีมากมายมหาศาลอย่างนั้น ถ้ามีมากมายมหาศาลอย่างนั้น ท่านก็ไม่ติดในสิ่งนั้นไง แต่ถ้าคนมันทุกข์มันยาก คนมันทุกข์มันยาก สิ่งที่มันทุกข์มันยาก เราก็ทำมาอย่างนั้นแต่จิตใจของเราไง จิตใจของเราถ้ามันประเสริฐจิตใจของเราถ้ามีคุณค่าขึ้นมาเราเห็นค่าของน้ำใจที่มากกว่าถ้าคุณค่าของน้ำใจที่มากกว่ามันไม่เอาปัจจัยเครื่องอาศัยนั้นมันไม่มากดถ่วงในชีวิตของเราไง

ถ้าเป็นชีวิตของเรานะ มีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น ถ้าเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูสิการอยากประพฤติปฏิบัตินี้เป็นกิเลสหรือไม่

การอยากประพฤติปฏิบัติอยากทำคุณงามความดีไง ถ้าอยากทำคุณงามความดี ทำความดี ความดีเป็นเครื่องอาศัย ถ้าทำชั่วๆ มีแต่คนติฉินนินทา กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลมๆ หอมทวนลมเพราะการประพฤติปฏิบัติอันนั้น ถ้าการปฏิบัติอันนั้นเป็นคุณธรรม

นี่พูดถึงปัจจัย ๔ ถ้าปัจจัย ๔ นี้มันเป็นเรื่องโลก คติโลก คติธรรมคติโลกก็เรื่องของโลกๆ ไงโลกก็ทำคุณงามความดีของเราไปวัดไปวาทำบุญกุศลขึ้นมาเพื่อบุญกุศล เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตเพื่อความสุขในโลกของเราไงแต่ความสุขขนาดไหน ถ้ามีความสุขขนาดไหนมันก็ไปทุกข์ไปยากอยู่บนกองเงินกองทองนั่นแหละ

แต่ถ้ามันจะทุกข์จะยากขนาดไหน ทุกข์ยากเราก็ขวนขวายของเราถ้าขวนขวายของเรานะ มีสิ่งใดที่มันประสบความสำเร็จในชีวิตของเรา เวลามันทำหน้าที่การงานสิ่งใดทั้งสิ้นก็จบแล้ว แล้วชีวิตนี้มันเหลืออะไรล่ะสิ่งต่างๆ ก็ทำหมดแล้วๆ

ดูสิ เวลาในหลวงท่านมีความนึกคิดของท่าน ท่านบอกว่าจะพัฒนาประเทศถ้าพัฒนาประเทศมันต้องพัฒนาสุขภาพของประชาชนก่อน ประชาชนสมัยก่อนนะ สมัยก่อนสุขภาวะมีอายุขัยก็สั้นโรคภัยไข้เจ็บก็มหาศาล ก็พยายามฟื้นฟูไงฟื้นฟูตั้งแต่อาหารการกินตั้งแต่สภาวะแวดล้อม ตั้งแต่การบำรุงรักษาทางการแพทย์ทางการแพทย์เพื่อบำรุงรักษาให้คนร่างกายแข็งแรง ถ้าสุขภาพแข็งแรงสุขภาพแข็งแรงทำหน้าที่การงานขึ้นมาก็ทำได้ง่ายถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงจะพัฒนาประเทศไปได้อย่างไร จะพัฒนาประเทศได้ก็ต้องสุขภาพแข็งแรงๆ

คำว่า"สุขภาพแข็งแรง" เห็นไหมฉะนั้น เวลาเมืองไทยของเราถ้าพูดถึงวิชาการแพทย์ของเราเราเทียมหน้าเทียมตาประเทศทั่วโลก เพราะเราส่งเสริมกันมาตั้งแต่ต้น ส่งเสริมมาตั้งแต่ต้นเพราะเราเห็นเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย เรื่องสุขภาวะ เรื่องสุขภาพ เรื่องความแข็งแรงของประชาชนถ้าประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจพอเพียงๆ มันก็ประหยัดมัธยัสถ์นั่นน่ะ ถ้าเศรษฐกิจพอเพียงๆ มันจะพอเพียงมาจากไหน

ชาวไร่ชาวนาขึ้นมา พอเพียงกันมาได้อยู่นี่เพราะความเป็นหนี้ หนี้สินมันบีบคั้นน่ะ มันจะไปพอเพียงตรงไหนล่ะ มันต้องหามาใช้หนี้ใช้สินก่อนมันถึงจะพอเพียงไง คำว่า "หนี้สินๆ" หนี้สินมันมาจากไหนล่ะ หนี้สินขึ้นมาก็เพราะความโลภ อยากได้มาก อยากกระทำมาก กู้หนี้ยืมสินมาๆ มันเป็นเครดิตนะเวลาทางการตลาด พวกเรามีเครดิตดีมาก มีบัตรเครดิตคนละ๒๐ ใบ อู๋ย! เครดิตดีมากเลยนะ อวดกันยกย่องสรรเสริญกัน ทำไปแล้วมีแต่เอาเงินอนาคตมาใช้ทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าของเรานะ เราประหยัดมัธยัสถ์ของเรา นี่สุขภาวะทางจิตใจถ้าสุขภาวะจิตใจคนเรานะ เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรมๆ นะ มีปากมีท้องเหมือนกัน ความเป็นอยู่เหมือนกันแต่คนที่จิตใจเขาสูงส่งนะ เขาทำอย่างไรเขาไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจของเขาเขาอยู่ของเขาด้วยความสุขความสงบของเขานะ

ของเราอยากจะเทียมหน้าเทียมตาเขาๆ เราใช้น่ะสิ่งที่เราจะไปใช้เทียมหน้าเทียมตาเขามันไม่สะดวกกับเราเลยสมัยโบราณของเรานะ เวลาบ้านอยู่ริมน้ำ บ้านอยู่ในที่ลุ่ม เขาปลูกบ้านเรือนสูงเวลาน้ำมาเขาอยู่สบายของเขา

อยากจะเทียมหน้าเทียมตาเขาไง ทรงสเปนไง ยุโรปไงเวลาน้ำท่วมมาก็ไปหาเงินมาซ่อมบำรุงอยู่นั่นน่ะเทียมหน้าเทียมตาเขา มันไม่ได้มองความเป็นไปของความเป็นจริงเลย ถ้ามองความเป็นไปของความเป็นจริง ผู้ที่เขามีสติมีปัญญาของเขาจะพัฒนาประเทศๆ มันต้องมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญาแล้ว สติปัญญามันล้ำหน้าประชาชนไปล้ำหน้าสังคมไปถ้าล้ำหน้าสังคมไป พูดสิ่งใดใครก็ไม่เชื่อฟังทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าเวลาความจริงมันประจักษ์ เวลาเขามาทวงหนี้ทวงสินต้องคอยหลีกลี้เขา เวลาทุกข์ยากขึ้นมาต้องคอยเอาชีวิตนี้ฟันฝ่าไป ถ้าความทุกข์มันบีบคั้นขึ้นมา แล้วถ้าใครทำสิ่งนั้นได้ใครทำสิ่งนั้นแล้วมันมีความสุขความสงบเข้ามามันเป็นเชิงประจักษ์แล้วเราถึงยอมเชื่อกันไงเพราะความคิดของท่านล้ำหน้าเราไปๆ ล้ำหน้าเราไปที่ไหนล่ะล้ำหน้าเราไป ล้ำหน้ากิเลสของเราไปไง

ถ้าเป็นความจริงๆธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๐๐๐ กว่าปีแล้ว ให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ สุขที่พ้นจากความเป็นหนี้ ความเป็นหนี้เป็นสินนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่งนะ ความเป็นหนี้เป็นสินเป็นทุกข์อย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอกย้ำมาแล้ว ๒๐๐๐ กว่าปีนะ ไอ้พวกเราภูมิใจ เครดิตดี กูได้เยอะ เครดิตดี ถึงเวลาเขายึดหมดน่ะ เวลาเขายึดหมดแล้ว สงครามทางเศรษฐกิจไง ถ้าสงครามเศรษฐกิจ ถ้าใครมีสติปัญญา แล้วมันมาจากไหนล่ะ

เราจะเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมาได้เราก็ต้องมีสติปัญญาของเราถ้ามีสติปัญญาของเรา สิ่งที่ว่ามันมีความบีบคั้นอยู่ด้วยความเป็นหนี้ๆ เราก็หาทางชดใช้เขาไปชดใช้เขาไปเพราะอะไรเพราะเราไปกู้หนี้ยืมสินเขามาเองไง ถ้าเรารู้จักประหยัดมัธยัสถ์มันจะเข้ามานี่แล้ว มันจะเข้ามาเรื่องกิเลสของคนๆ นะ

วัฒนธรรมประเพณี ถ้าวัฒนธรรมของคนนะ ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกเลยท่านยังเกิดทันสมัยโบราณของเรามันเจือจานกันหมดทั้งหมู่บ้าน ในหมู่บ้านเขาสัมพันธ์กันไปหมดน่ะ เขาทำสิ่งใดเขาเจือจานกัน มันไม่มีโจรไม่มีขโมย มันรู้หมดเลยใครทำอะไร ในสมัยปัจจุบันนี้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างปรารถนาตามกิเลสตัณหาของตน มันขวนขวายๆขวนขวายไปไงขวนขวายไปแล้วมันเป็นยุคเป็นคราวของมัน นี่เวลาโลกเจริญๆโลกเจริญแล้วธรรมะล่ะ ธรรมะในใจของเราล่ะเห็นไหม

เวลาฟังธรรมๆ ให้ธรรมเป็นทานๆ เขาให้วิชาการ ให้ความรู้ไง ให้รู้จักเท่าทันตัวเองไงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาถึงที่สุด อตฺตา หิอตฺตโน นาโถตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะ เราทำบุญกุศลมามากมายมหาศาลขนาดไหน เวลาจะพ้นจากทุกข์ๆ มันต้องภาวนาทั้งนั้นน่ะ

ระดับของทานๆ ระดับของทานทำถึงที่สุดแล้ว เวลาทำทานแล้วมันมีความสุขมีความพอใจมาก ทำไปๆ มันก็จืดชืดของมันระดับของศีลๆนั่งปกติของเราเราทำทานๆ ขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วเราให้คนอื่นทำแทน คนอื่นทำแทน นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันมีหลานเป็นผู้ที่ทำบุญกุศลแทนนางวิสาขา เวลาหลานตายไปๆ ผู้ที่ทำการแทนตายไป ร้องไห้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิสาขาเธอเป็นอะไร

หลานตายไป

โอ๋ย! ถ้าคนทั้งในนครราชคฤห์เป็นหลานของเธอเธอไม่ต้องร้องไห้ทุกวันหรือ เพราะมันมีคนตายอยู่ทุกวันไง ใครทำหน้าที่แทนกันก็แทนกันได้ทางโลกเท่านั้นน่ะเวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามความจริงของตน ถ้าปฏิบัติตามความจริงของตน เห็นไหมศีล สมาธิ ปัญญา

จิตดวงใดไม่มีปัญญา จิตดวงใดไม่มีสติยั้งคิดในใจของตนจิตดวงใดไม่มีสมาธิ จิตดวงใดไม่มีมรรคมีผลขึ้นมา ถ้าดวงใจดวงใดมันไม่มีมรรคมีผลขึ้นมามันฉลาดขึ้นมาได้อย่างไร มันจะพ้นทุกข์ขึ้นมาได้อย่างไร

ถึงที่สุดแล้วเรื่องระดับของทานๆ เรื่องของศีลก็เรื่องของศีล เรื่องของปัญญาๆ แล้วปัญญาขึ้นมาครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นปัญญาขึ้นมา โปฐิละๆ ใบลานเปล่าๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามหาศาล ไปไหนมีแต่คนนับหน้าถือตาทั้งนั้นน่ะ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ใบลานเปล่ามาแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ"

อ่านให้มากๆ ยิ่งอ่านยิ่งโง่ อ่านใบลานเปล่าๆ มันไม่มีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของตนเลยปริยัติเขาศึกษาให้มาปฏิบัติเวลาปฏิบัติเป็นจริงขึ้นมา เพราะถึงเวลาแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยเคาะ คอยเคาะคือคอยสะกิด

เราเวลาทำสิ่งใดเราก็ว่าเราทำถูกทั้งนั้นน่ะ แต่มันไม่มีครูบาอาจารย์คอยสะกิดให้เราเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรไม่ควร มันควรจะพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ระดับของอะไร ดูสิพุทธตามทะเบียนบ้านก็ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น คนที่ไปวัดเป็นคนที่มีปัญหาทั้งนั้น เราเป็นคนดีๆ

คนดีมีอะไร คนดีก็สมบัติเดิมไง กินของเก่า ของที่เคยทำมา มนุษย์สมบัติเป็นของเก่าทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ได้บุญกุศลขึ้นมาทำขึ้นมาแล้วเป็นของเก่า กินของเก่าอยู่นั่น เราเป็นคนดีๆ ไงเวลาไปวัดไปวาขึ้นมานั่นของเก่าของเก่าก็เราทำมาเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา ใครมีสติปัญญาขึ้นมามันจะขวนขวายหยิบฉวยทรัพย์สมบัติได้มากน้อยแค่ไหน

ถ้าหยิบฉวยทรัพย์สมบัติทางโลก บุญกุศลมันเป็นอามิส มันเป็นทรัพย์สมบัติทางโลก มันเป็นสมบัติทางโลกแล้วทรัพย์สมบัติที่เป็นอริยทรัพย์ล่ะ ทรัพย์สมบัติที่จะเป็นสมบัติของเราล่ะ

ถ้าทรัพย์ที่เป็นจริง ดูสิการเกิด แก่ เจ็บตาย มันต้องเกิดแก่ เจ็บ ตายทั้งสิ้น แล้วที่ไม่เกิดไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายมันอยู่ที่ไหนล่ะ พระพุทธศาสนาสอนที่นั่นไง ถ้าสอนที่นั่นเราถึงขวนขวายของเรา ถ้าขวนขวายของเราเรื่องของโลกเราก็ทำของโลก นี่เรื่องระดับของทาน ระดับของศีลขึ้นมาเราก็ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาเห็นไหม

ดูสิ โปฐิละใบลานเปล่าๆศึกษามีความรู้มาก สั่งสอนใครไม่มีผิดหรอกพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ เพราะพระพุทธเจ้ายังอยู่ ฟังโปฐิละแล้วก็ไปถามพระพุทธเจ้าก็ถูกต้องทั้งนั้นน่ะ แต่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง โปฐิละใบลานเปล่าๆ นั่นมันสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่สมบัติของเธอ

สุดท้ายแล้วเวลาโปฐิละได้สติปัญญาขึ้นมา ไปสำนักปฏิบัติ ไปหาครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติท่านปฏิบัติเงียบๆของท่าน ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน ท่านรักษาในใจของท่านท่านมีภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระล้างกิเลสของท่าน ท่านสงบเสงี่ยมเศรษฐกิจพอเพียงๆ พอเพียงในใจของท่านท่านเป็นพระอรหันต์น่ะ สงบระงับทั้งนั้นน่ะ

เวลาโปฐิละมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณจะไปศึกษา เจ้าอาวาสบอกว่า เราอยู่ป่าเราไม่มีชื่อเสียงไม่มีเกียรติศัพท์เกียรติคุณ ใครจะรู้จัก คงไม่มีความสามารถสอนได้หรอกมั้ง

ก็ไล่ไปเรื่อยๆ ไง องค์ที่๒ ก็ไล่ไปเรื่อยๆทุกคนไม่มีเกียรติศัพท์เกียรติคุณทั้งนั้นน่ะ เขาพอเพียงในใจของเขา สุดท้ายแล้วไปถึงสามเณรน้อยตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวเป็นพระอรหันต์ทั้งวัดเลยนี่ความพอเพียงในใจของท่านท่านไม่มีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันเป็นโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภสรรเสริญนินทายกย่องสรรเสริญประจบสอพลอกันอยู่ในสังคมโลกไง มีแต่หน้ากาก มีแต่หัวโขน ไม่มีความจริงในใจเลย

สุดท้ายแล้วเวลาเจ้าอาวาสก็บอกสามเณรน้อย ถ้าโปฐิละเขามีปัญญามาก เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติก็ลองเขาหน่อย คำว่า"ลอง" ให้ลองประพฤติปฏิบัติดู

ถ้าประพฤติปฏิบัติดูถ้าสั่งสอน สั่งสอนอะไร ฉันรู้หมดแล้ว เพราะฉันจำได้หมด ฉันสอนลูกศิษย์ลูกหามหาศาล แล้วจะมาสอนอะไรใกล้เกลือกินด่างเอาของพื้นๆ มาสอนมันจะมีปัญญาอะไรล่ะ

แต่สามเณรน้อยนี้เป็นพระอรหันต์นะ เป็นพระอรหันต์สามเณรน้อย ถ้าจะสอนอ้าว! อย่างนั้นตกลงว่าจะสอนแล้วจะสอนนะเราต้องมีเครื่องมือสอนนะ ก็จะขอให้ไปตัดไม้ตัดไม้ก็ตัดกอไผ่ให้ห่มจีวรเข้าไป

โดยข้อเท็จจริงมันเข้าไปได้อย่างไรล่ะเข้าไปจีวรมันเกี่ยวผ้าขาดหมดแล้วผ้าสมัยพุทธกาลมันหาได้ยากไง

เราต้องการไม้นั้นให้เอามีดเข้าไปตัด

หยิบมีดจะวิ่งเข้าไปตัดเลยนะ

ไม่เอาแล้ว พอ เพราะเขาไม่ต้องการเขาต้องการลดทิฏฐิมานะ ไอ้ที่ว่ารู้มากๆ นั่นน่ะไอ้ที่ว่าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่วมหัวนั่นน่ะ

อย่างนั้นไม่เอาแล้ว เราจะเอาน้ำ ก็ให้ห่มผ้าลงไปในคลองจะไปตักน้ำ พอลงไปถึงใกล้ๆคลอง "ไม่เอาแล้วๆ ไม่เอา ขึ้นมา" แสดงว่าทิฏฐิมานะมันลดลง ทิฏฐิมานะถือตัวถือตนว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง ตัวเองเข้าใจมันลดลง

พอมันลดลง อย่างนั้นเราจะเริ่มสอนนะร่างกายนี้เปรียบเหมือนจอมปลวก จอมปลวกมันมีรูอยู่ ๖ รู ปิดเสีย ๕ รู เหลือรูไว้รูหนึ่งคอยจับเหี้ยตัวนั้นน่ะ เหี้ยในจอมปลวกนั้นน่ะ

เรียนมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนมาหมด พระไตรปิฎกรู้หมดสอนเขา ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง เวลาพระอรหันต์จะสอน สอนเรื่องจอมปลวก อ้าว! ไม่สอนธรรมะพระพุทธเจ้าเลยไม่สอนพระไตรปิฎก ไม่สอนเรื่องอริยสัจหรือโอ๋ย! ไม่สอนเรื่องมรรคผลนิพพานเชียวหรือมันต้องสอนมรรคผลนิพพานสิมันถึงจะจริง นี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธบัญญัตินี่สมมุติบัญญัติบัญญัติมาเป็นเรื่องวิถีแห่งจิตเวลาจิตมันเป็นไป วิถีแห่งกิเลสจิตที่มันส่งออกจิตที่มันมีอุปาทานของมันนั่นน่ะท่านพูดถึงความรู้สึกนึกคิดของเราทั้งนั้นน่ะท่านเปรียบ นี่เป็นบัญญัติ

แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมาสมมุติว่าร่างกายเราเป็นจอมปลวก มันมีเหี้ยอยู่ตัวหนึ่งในจอมปลวกนั้นคอยสังเกตจับเหี้ยตัวนั้นมาแล้วเอาเหี้ยตัวนั้นมาพิจารณา ก็หัวใจของเรานี่ไง เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิถีแห่งจิต วิถีแห่งจิตก็ความคิดเรา วิถีแห่งจิตมันเทียบได้หมดน่ะ เรามีพร้อมเรารู้หมด เราเข้าใจทั้งหมดเลย แต่ไม่ได้อะไรทั้งสิ้นน่ะเวลาจริงๆ ขึ้นมาปิดรูทั้ง ๕ รู ตา หูจมูก ลิ้น กายเหลือช่องของใจให้มันแลบออกมา แลบออกมาเห็นไหม

นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งท่านสอน ท่านสอนให้ทำความสงบของใจไง ถ้าใจมันสงบแล้วใจสงบแล้วถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ตามความเป็นจริง ถ้าใจมันสงบแล้ว ถ้าใจไม่สงบมันจินตนาการทั้งนั้นน่ะ มันรู้ไปหมดใบลานเปล่าๆความรู้ท่วมหัวมันไม่มีความเป็นจริงในใจไง ถ้ามีความเป็นจริงในใจ ศีล สมาธิปัญญามันเกิดขึ้น

นี่พูดถึงดูสิ ของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ตั้งแต่พระจะบวช นี่พูดถึงว่า บริขาร ๘มันก็มีบาตร มีจีวร มีเครื่องนุ่งห่ม แล้วมียารักษาโรค นี่ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔นี้ดำรงชีวิตเรื่องโลกๆ นะ ดำรงชีวิตเพราะอะไรล่ะ เพราะเราเป็นฆราวาสใช่ไหมเราเห็นแต่ทุกข์ใช่ไหม เราจะพ้นจากทุกข์เราก็มาบวชเป็นพระ เราจะมาประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ไปปฏิบัติก็เป็นปุถุชน เราก็ต้องดำรงชีวิต การดำรงชีวิต ดำรงชีวิตแบบปุถุชนไง

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วถ้ามันมีร่องมีรอย ปฏิบัติไปแล้วอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะเข้มแข็ง มันจะห้าวหาญ ไอ้เรื่องเห็นของปัจจัย ๔นี้เป็นของภายนอกเลย มันเป็นของไม่จำเป็นเลย เพราะมันไม่กิน ๗ วัน ๘วันก็ไม่ตาย มันอยู่ของมันได้

แต่ของเราที่มา โอ๋ย! มันทุกข์มันยากต้องกินอิ่มนอนอุ่น ต้องสะดวกสบายก่อนแล้วค่อยปฏิบัติ ต้องทุกคนเอาอกเอาใจดีแล้ว แล้วค่อยปฏิบัติ นี่ความคิดถ้าจิตใจอ่อนแอมันคิดไปอย่างหนึ่ง

จิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่ปฏิบัติแล้วสมความปรารถนาขึ้นไปมันจะเข้มแข็ง มันจะเป็นอาชาไนย บุรุษอาชาไนยจะเลือก จะคัด จะแยก จะทำประโยชน์กับใจของตนเอง แต่ถ้ามันอ่อนแอๆ มันก็ตายกันอยู่นั่นน่ะ เอาอกเอาใจตายกันอยู่นั่น นี่พูดถึงปัจจัยเครื่องอาศัย แต่มันมีกายกับใจๆไง ถ้าร่างกายเข้มแข็ง เรื่องสิ่งภายนอกมันเป็นภายนอก

เราจะพูดถึงว่า ในปัจจุบันนี้เวลาในหลวงท่านฟื้นฟูสังคมไทย เริ่มต้นตั้งแต่สุขภาวะของคนก่อน ท่านพูดบ่อยมากว่าประเทศชาติมันจะเจริญประชาชนต้องแข็งแรงปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บก่อน ท่านถึงฟื้นฟูในเรื่องสุขอนามัย เรื่องทางการแพทย์สุดท้ายแล้วพอล่วงมา เศรษฐกิจพอเพียงๆ ให้คนประหยัดมัธยัสถ์ให้คนรักกัน ให้คนชอบกัน สอนโดยที่ไม่ต้องให้ระลึกถึงท่านเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่มีกำมือในเรามันเป็นสัจธรรมมันเป็นข้อเท็จจริง วางไว้ให้พวกเราขวนขวายแสวงหาให้เป็นความจริงขึ้นมา

ของท่านท่านก็สอนขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนมีความสุข ให้พวกเราชาวไทยมีความสุข มีความรักใคร่กันมีความเห็นน้ำใจต่อกัน ท่านสอนเพื่อใครน่ะ ท่านสอนเพื่อเราทั้งนั้นน่ะ

คนที่เขาทำแล้วเขาไม่ปรารถนาสิ่งใดไม่ต้องการสิ่งใดนั้นเราถึงจะเคารพบูชา คนที่ทำสิ่งใดแล้ว"ของฉันๆ ฉันแน่ฉันเก่ง" ไม่มีใครเขาสนใจด้วยหรอก

นี้พูดถึงนะถ้ามันทำความเป็นจริง ปิดทองหลังพระ ถ้าปิดทองหลังพระทำความดีเพื่อความดีไง เราทำความดีเพื่อความดี เรามาวัดมาวากัน เรามาเสียสละทานของเราเพื่อหัวใจของเรา เพื่อหัวใจของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำใจของเรานี่แหละ ตอกย้ำสัจธรรมของเราขึ้นมา ถ้ามันทำความเป็นจริงขึ้นมา

ครูบาอาจารย์ท่านมีถามท่านได้ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํการสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง การสนทนาธรรม การไต่ถามเป็นเรื่องมงคลทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันถามด้วยข้างๆ คูๆ ถามด้วยการฉ้อฉลอันนั้นธรรมะที่หลวงตาท่านบอก ธรรมะหมากัดกัน เอาชนะคะคานกันไงอยากจะรู้ อยากจะอวด อยากจะอ้าง ไร้สาระมาก

แต่ถ้ามันสงสัย ถ้ามันสงสัย มันเป็นสิ่งใดที่เราปฏิบัติแล้วมันมีสิ่งใดพูดได้ ครูบาอาจารย์เรา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํเป็นมงคลชีวิตแล้วคนที่มีคุณธรรมในหัวใจท่านไม่รู้อะไรเป็นมงคลอะไรเป็นอัปมงคลหรือ

ไอ้คำว่า"เป็นมงคลๆ" คือมันเป็นแง่บวกมันเป็นสิ่งที่แสวงหาอัปมงคลคือการกดถ่วงกัน นั่นคืออัปมงคล แต่ถ้าเป็นมงคล มงคลชีวิตมันประเสริฐทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันเป็นมงคลชีวิตถ้าเรามีจิตใจที่เป็นธรรม ฟังธรรมๆ เพื่อใจดวงนี้ เพื่อชีวิตนี้เอวัง